ธุรกิจคาร์แคร์
ธุรกิจที่ให้บริการดูแลรักษารถทุกชนิด รวมไปถึงการให้บริการเพื่อความสะอาดและปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ย่อยๆ ทั่วไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าปัจจุบันจำนวนรถในท้องถนนก็มีเพิ่มข้นอย่างแต่เนื่อง อีกทั้งยุสมัยนี้คนชอบความสะดวกสบาย ธุรกิรคาร์แคร์จึงเหมาะมากในการลงทุนในปัจจุบันนี้
คุณสมบัติผู้ประกอบการที่ควรมี
มีประสบการณ์และความรู้บ้างในด้านนี้ นิสัยรักรถ รักการให้บริการ ความชอบส่วนบุคคล ปัจจัยการลงทุนเบื้องต้น สถานที่ มีจิตวิทยาเบื้องต้นในการอยู่ร่วมกับคน
ต้นทุนเบื้องต้นในการทำธุรกิจคาร์แคร์
- ที่ในการเปิดร้าน(ทำเลสำคัญมาก เช่นอยู่ติดถนน แหล่งชุมชน แหล่งการค้า) ถ้าหากเป็นที่ของตัวเองจะประหยัดต้นทุนในการลงทุนลงไปมาก
- เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงแรงดัน 120 บาร์ขึ้นไป ราคาประมาณ 10,000-30,000 บาท (ขึ้นกับขนาดและยี้ห้อ)
- ปั๊มลมขนาด 140 ลิตรขึ้นไป ราคาประมาณ 20,000-30,000 บาท (ขึ้นกับขนาดและยี้ห้อ)
- เครื่องฉีดโฟมถังสแตนแลส ราคาประมาณ 10,000 บาท
- เครื่องดูดฝุ่น 2 หรือ 3 มอเตอร์ ราคาประมาณ 20,000 บาท
- น้ำยาเคมีต่างๆ ในการทำงานครบชุด ประมาณ 20,000 บาท
- เครื่องมือจุกจิก เช่น กาพ่น wax ชามัวร์ ผ้าไมโครไฟ เบอร์ ชั้นวางน้ำยา เป็นต้นอีกประมาณ 10,000 บาท
การลงทุนเรื่องอุปกรณ์เบื้องต้น จะอยู่ที่ประมาณ 100,000 – 150,000 บาท (ราคาแค่คราวๆ ต้องเช็คราคาเครื่องมือแต่ละรุ่น ยีห้ออีกที) แต่การลงทุนจะไม่จบแค่นี้แน่นอนจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกดังนั้นเราควรศึกษาและวางแผนให้รอบครอบ
ผู้ทำธุรกิจคาร์แคร์ ต้องเรียนรู้และมีองค์ความรู้ทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติด้วย ทั้งการปฏิบัติ การบริหาร การตลาด การส่งเสริมการขาย (Promotion) ในเรื่องต่างๆ ดังนี้
- ลักษณะการเป็นผู้นำ ผู้บริหาร รูปแบบเอกสาร สถานที่ โครงสร้าง
- การบริหารพนักงานและการจูงใจ การทำความเข้าใจและการดูแลรักษาเครื่องมือ
- เรียนและเข้าใจหลักการการบริหารการตลาด การผสม น้ำยาเคมี
- เทคนิคการล้าง การเช็ดแห้ง
- การล้างระบบ VIP การล้างห้องเครื่องยนต์
- การล้าง ซักเบาะ-พรม แบบแห้ง
- การล้าง ซักเบาะ-พรม แบบเปียก
- การล้าง, ซักเบาะ-พรม แบบใช้เครื่องอัตโนมัติ
- การเรียนรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เคมี
- การขจัดคราบน้ำบนกระจกและผิวสี
- การขจัดละอองสี
- การขจัดยางมะตอย, ขัดเคลือบล้อแม๊กซ์
- การขัดเคลือบสีลบรอยเคลือบสี full system
- การเคลือบแก้ว (ภาคทฤษฏีและปฎิบัติ)
- สรุปการใช้เคมี ผลิตภัณฑ์
ถ้าเกิดถามถึงการซื้อเฟรนชายน์ธุรกิจคาร์แคร์ละจะง่ายกว่าไหม แน่นอนว่าง่ายกว่าเยอะ แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่น
ข้อดี
- มีแบรนด์ของร้านที่น่าเชื่อถือ
- มีอุปกรณ์ทุกอย่างให้
- การตลาด การอบรม ป้าย รูปแบบร้าน ชุดพนักงาน
- การส่งเสริมการขาย เป็นต้น
ข้อเสีย
- ค่าแฟรนไซน์แพงเกินเหตุ ต้องอยู่ในขอบเขต ตามสัญญาที่ระบุ ต้องใช้น้ำยายี่ห้อเดียวเท่านั้น
- ต้องเสียค่าส่วนแบ่งของยอดขาย ประมาณ 20% ต่อเดือน
- ห้ามใช้น้ำยาของยี่ห้ออื่นโดยเด็ดขาด บังคับการสั่งซื้อน้ำยาต่อเดือน
เรทราคาอัตราค่าบริการ
**ราคานี้เป็นการหยิบยกตัวอย่าง ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสถานที่และบริการของคาร์แคร์เอง
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการ ทำธุรกิจคาร์แคร์
- ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนพาณิชย์ เนื่องจากเป็นธุรกิจบริการ เว้นแต่ว่ามีการนำสินค้ามาไว้จำหน่าย ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 50 บาท ขึ้นไป แต่สามารถจดทะเบียนเพื่อเป็นนิติบุคลได้
- ธุรกิจคาร์แคร์ ถูกจัดให้เป็น โรงงานต้องขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรียกว่าเป็น โรงงานอุตสาหกรรมประเภทที่ 95(4)
- ก่อนเปิดให้บริการต้องขออนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ กับสำนักงานปกครองภาครัฐในท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ คือต้องแจ้งขออนุญาตต่อสำนักงานเขต เทศบาล หรือสุขาภิบาล ก่อนเปิดให้บริการ
- การก่อสร้างอาคารเพื่อประกอบธุรกิจ หากมีเนื้อที่มากกว่า 80 ตารางเมตร ขึ้นไป จะเข้าข่ายอาคารควบคุมการใช้งาน เป็นอาคารสำหรับใช้เพื่อกิจการพาณิชยกรรม ต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นที่เปิดดำเนินการอยู่ เพื่อให้ออกใบรับรองการก่อสร้าง หรือ อ.6
- ผู้ประกอบการต้องยื่นเรื่องเพื่อดำเนินการด้านภาษี ในกรณีเป็นนิติบุคล ต้องยื่นภาษีเงินได้นิติบุคลประจำปีและครึ่งปี (ภ.ง.ด. 50 และ 51) หรือในกรณีไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคล เป็นประเภทบุคคลธรรมดาต้องยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีเงินได้ประจำปีและครึ่งปี (ภ.ง.ด.90 และ 94)
และมีอีกเรื่องที่ส่วนมากไม่ทันได้สังเกตและใส่ใจ ซึ่งทำให้มักเกิดปัญหาในเวลาไปยื่นแบบก่อสร้าง ก็คือ ห้องน้ำ ! เนื่องจากเมื่อเข้าข่ายอาคารพาณิชย์ จะต้องทำตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 คือ ต้องมีห้องน้ำแยกชายหญิง เป็นห้องน้ำหญิงที่มีโถขับถ่าย 2 ที่ และอ่างล้างมือจำนวน 1 ที่ ส่วนห้องน้ำชาย ต้องมีโถขับถ่าย 1 ที่ และโถสำหรับปัสสาวะ จำนวน 2 ที่
ขอบคุณข้อมูลจาก : boc.dip.go.th
เรียบเรียงโดย : www.siamarcheep.com (สยามอาชีพ)