การนวดไทย หรือ นวดแผนโบราณ เป็นการนวดชนิดหนึ่งในแบบไทย ซึ่งเป็นศาสตร์บำบัดและรักษาโรคแขนงหนึ่งของการแพทย์แผนไทย โดยจะเน้นในลักษณะการกด การคลึง การบีบ การดัด การดึง และการอบ ประคบ ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ “นวดแผนโบราณ” โดยมีหลักฐานว่านวดแผนไทยนั้นมีประวัติมาจากประเทศอินเดีย และมีการนำเข้ามาในประเทศไทย จากนั้นได้ถูกพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขให้เข้ากันกับวัฒนธรรมของสังคมไทย จนเป็นรูปแบบแผนที่เป็นมาตรฐานของไทยและส่งทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ประวัติความเป็นมาของการนวดแผนไทย นวดแผนโบราณ
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการนวดไทยที่เก่าแก่ที่สุด คือ ศิลาจารึกสมัยสุโขทัยที่ขุดพบในป่ามะม่วง ซึ่งตรงกับสมัยพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งได้จารึกรูปการรักษาโรคด้วยการนวดไว้
ต่อมาในสมัยอยุธยามีหลักฐานที่ปรากฏอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการนวดไทยในปี พ.ศ. 1998 ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโดยมีพระราชกฤษฎีกาแบ่งหน้าที่ของแพทย์ตามความชำนาญเฉพาะทาง โดยแยกเป็นกรมต่างๆ เช่น กรมแพทยา กรมหมอยา กรมหมอกุมาร กรมหมอนวด กรมหมอตา กรมหมอวัณโรค โรงพระโอสถ นอกจากนี้ยังได้มีการกำหนดศักดินาและดำรงยศตำแหน่งเป็น หลวง ขุนหมื่น พัน และครอบครองที่นาตามยศและศักดินาที่ดำรง ซึ่งปรากฏอยู่ในกฎหมาย “นาพลเรือน” ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งเป็นยุคที่การนวดไทยรุ่งเรืองมาก โดยปรากฏในจดหมายเหตุของราชทูตจากประเทศฝรั่งเศสชื่อ ลา ลู แบร์ ในปีพ.ศ. 2230 ว่า
นวดแผนไทยมีกี่ประเภท
การนวดไทยแบ่งเป็น 2 สาย คือสายราชสำนัก และ สายเชลยศักดิ์
- การนวดแบบราชสำนัก เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของการนวดนี้คือ เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ที่อยู่ในรั้วในวัง ฉะนั้นการนวดจึงถูกออกแบบที่เน้นการใช้นิ้วมือและมือเท่านั้น และท่วงท่าที่ใช้ในการนวดมีความสุภาพเรียบร้อย มีข้อกำหนดในการเรียนมากมาย ผู้ที่เชี่ยวชาญทางวิชาชีพด้านนี้ จะได้ทำงานอยู่ในรั้วในวังเป็นหมอหลวง มีเงินเดือนมียศมีตำแหน่ง
- การนวดแบบเชลยศักดิ์ เป็นการนวดที่ใช้ในระดับชาวบ้านด้วยท่าทางทั่วไป ไม่มีแบบแผนหรือพิธีรีตองในการนวดมากนัก อีกทั้งยังสามารถใช้อวัยวะอื่นๆ เช่น เข่า ศอก เท้า เพื่อช่วยทุ่นแรงในการนวดได้ ซึ่งเป็นข้อแตกต่างจากการนวดแบบราชสำนักที่เน้นการใช้มือเพียงอย่างเดียว
สถานศึกษาสำหรับเรียนนวดแผนไทย
ในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่สนใจเรียนนวดแผนไทย หรือฝึกนวดแผนโบราณ เพื่อนำความรู้ไปใช้ประกอบในวิชาชีพนวดนั้น ก็มีสถานศึกษา และศูนย์พัฒนาบุคลากรต่างๆ มากมายที่เปิดอบรมและฝึกสอน ซึ่งก็มีทั้งแบบฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และมีแบบเสียค่าใช้จ่าย
ซึ่งสำหรับการจ่ายเงินเพื่อเรียนนวดนั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นการเรียนเพิ่มเติมในคอร์สต่างๆ เช่น เรียนนวดสปา นวดน้ำมัน หรือนวดเฉพาะส่วน เป็นต้น
แนะนำสถานศึกษาสำหรับเรียนนวดแผนไทย
ศูนย์กลางสมาคมแพทย์แผนไทย ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ www.yesspathailand.com ซึ่งที่เว็บไซต์นี้ มีการรวบรวมสถานสำหรับเรียนนวดแผนไทยฟรี นอกจากนั้นยังมีอีกหลากหลายสาขาอาชีพให้ทุกท่านเลือกเรียน เพื่อนำไปประกอบอาชีพได้ค่ะ
ประเภทของการนวดแผนไทย นวดแผนโบราณ
- นวดแผนไทยเพื่อผ่อนคลาย แก้ปวดเมื่อย
- นวดน้ำมันอโรมาเทอราปีเพื่อความงาม
- นวดสปอร์ต (สำหรับนักกีฬาโดยเฉพาะ)
- นวดสปา นวดน้ำมัน นวดสวีดิช
- นวดสลายไขมัน กระชับสัดส่วน
- นวดจับเส้นแก้อาการ
- นวดประคบสมุนไพร
- นวดฝ่าเท้า
- นวดไมเกรน
ลักษณะและกระบวนท่าในการนวดการกด
- การบีบ การทุบ/ตบ/สับ
- การคลึง การถู การหมุน
- การกลิ้งการสั่น/เขย่า การบิด
- การลั่นข้อต่อ การยืดดัดตัว
- การหยุดการไหลเวียนของเลือด
แนะนำ 5 กระบวนท่านวดด้วยตนเอง
ท่านวดท่าที่ 1 สิงห์ไสยาสน์ เป็นท่านอนที่ดีที่สุด เพื่อผ่อนคลายความเครียด โดยลักษณะท่าเหมือนขณะพระพุทธเจ้าทรงบรรทม
ท่าที่ 2 ฤาษีดัดตน เป็นท่านอนอีกท่าที่สามารถลดอาการปวดเมื่อยบริเวณน่อง เนื่องจากเอาหลังเท้าเหน็บไปที่ข้อพับใช้มือกด
ท่าที่ 3 ศพอาสนะ ท่านอนหงายปล่อยมือหงายธรรมดาแต่ช่วยให้ร่างกายเสมือนได้ปลดปล่อย นวดขาด้วยเข่า ตามจุดต่างบนน่อง 3 จุด
ท่าที่ 4 นวดขาด้วยตาตุ่ม ส่วนท่าที่มีอุปกรณ์ช่วยนั้น เป็นการนำอุปกรณ์ “โคเม็ด” ซึ่งมีลักษณ์คล้ายนมสาวมาช่วยในการกดจุด ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ท่าดังกล่าวก็จะไล่ไปตั้งแต่กดจุดฝ่าเท้า น่องขา เอว เส้นท้อง ก้นกบ กระเบนเหน็บ ซึ่งเป็นจุดสะสมความตึงเครียด รวมทั้งแผ่นหลังตอนบนและล่าง ต้นคอ ศีรษะ สามารถพลิกหามุมพอดีๆ เลือกน้ำหนักที่พอดีได้ตามใจชอบ นอกจากนั้นยังสามารถใช้ขณะนั่งทำงาน บนเก้าอี้โดยการใช้อุปกรณ์ได้ด้วย
ท่าที่ 5 นวดเท้าด้วยส้นเท้า เป็นอันครบท่ากายช่วยกายทั้ง 5 ท่า
ขอขอบคุณ : วิกิพีเดีย , ไทยอาชีพ , ผู้จัดการออนไลน์ , Yesspathailand
เนื้อหาบางส่วนมีที่มาจาก : th.wikipedia.org , thaiarcheep.com , manager.co.th ,Yesspathailand.com
เรียบเรียงโดย : สยามอาชีพ Siamarcheep.com